บทความนี้จะขอหยิบยกคำพิพากษาหนึ่งของอิมามอาลี(อ.)ที่นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ในหนังสือของพวกเขา
ชายหนุ่มคนหนึ่งมาหาอิมามอาลี (อ.) และกล่าวว่า: โอ้ท่านอาลี! พ่อของฉันเป็นเศรษฐี ได้ร่วมเดินทางไปกับคนจำนวนหนึ่ง ตอนนี้ผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับพ่อของฉันเดินทางกลับกันมาแล้ว แต่พ่อของฉันยังไม่กลับมา
ฉันถามพวกเขาว่า: เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของฉัน? พวกเขากล่าวว่า: เขาเสียชีวิตแล้ว ฉันถามว่า: เกิดอะไรขึ้นกับทรัพย์สินของเขา? พวกเขากล่าวว่า เราไม่รู้เกี่ยวกับทรัพย์สินของเขา
โอ้ท่านอามีรุลมุมินีน ! ฉันสงสัยคนเหล่านี้ โปรดทวงสิทธิ์ของฉันจากพวกเขาด้วยเถิด
หากอิมามอาลี(อ.)เป็นผู้พิพากษาทั่วไป คงจะพูดกับชายหนุ่มคนนั้นว่า “จงแสดงหลักฐานสำหรับการกล่าวอ้างนี้!” เมื่อพิจารณาว่าไม่มีพยานหลักฐาน จึงขอให้จำเลยให้คำสาบานปฏิเสธข้อกล่าวหา และเมื่อให้คำสาบานแล้ว คดีความก็จะยุติลง และท้ายที่สุดสิทธิของชายหนุ่มคนนั้นจะถูกละเมิด แต่อิมามอาลี(อ.) เป็นผู้พิพากษาที่ชาญฉลาด
เขามองไปที่ชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า : พรุ่งนี้มาที่มัสญิด ฉันจะตัดสินปัญหาของเจ้าในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ยกเว้นในยุคของท่านศาสดาดาวูด (อ.) จากนั้นเขาได้แจ้งให้จำเลยมาปรากฏตัวที่มัสญิดในวันพรุ่งนี้ และเชิญชวนให้ประชาชนเฝ้าดูและเป็นสักขีพยานในคำพิพากษาของเขา
เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายไว้ อิมามอาลี(อ.)ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนอยู่ข้างเสาและปิดตาด้วยผ้าไว้ ให้สัญญาณกับชาวบ้านที่มาเฝ้าดูว่าทุกครั้งที่ฉันพูดตักบีรก็ให้ร่วมกันกล่าวตักบีรด้วย แล้วรับสั่งให้นำตัวคนปิดตาคนแรกเข้าไปหาท่าน
อิมามถามว่า: พ่อของชายหนุ่มคนนี้เสียชีวิตตามธรรมชาติหรือว่าเขาถูกฆ่าตาย?
ผู้ต้องหากล่าวว่า: เขาเสียชีวิตตามธรรมชาติ
อิมามถามว่า: แล้วทรัพย์สินของเขาล่ะ?
ผู้ต้องหากล่าวว่า ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทรัพย์สินของเขา
อิมามถามว่า: เขาตายวันไหน? เช่นตอบว่าเมื่อวันเสาร์
อิมามได้สั่งให้อาลักษณ์บันทึกทั้งหมดที่ผู้ต้องหาให้การ
แล้วอิมามก็ถามว่า: คุณฝังเขาไว้ที่ไหน?
ผู้ต้องหากล่าวว่า: ที่ตรงนั้น
อิมามถามว่า: ใครนมาซให้เขา
ผู้ต้องหาตอบว่า: คนนั้น
อิมามถามว่า: เขาเสียชีวิตด้วยโรคอะไร?
ผู้ต้องหาตอบว่า: โรคนั้น
อิมามถามเขาเกี่ยวกับรายละเอียดอื่นๆ และอาลักษณ์ก็จดบันทึกทุกอย่างไว้ หากผู้ต้องหาบอกความจริง คนอื่นก็ต้องตอบเหมือนกัน และถ้าเขาโกหก คำตอบของอีกฝ่ายก็จะแตกต่างออกไปอย่างน้อยในบางกรณี การซักถามของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อิมามจึงกล่าวตักบีร(อัลลอฮุอักบัร) และชาวบ้านก็กล่าวว่าตักบีรด้วยเช่นกัน ผู้ต้องหาคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงตักบีรหัวใจของพวกเขาก็ว่างเปล่า บอกกับตัวเองว่าเพื่อนของเราคงจะสารภาพและเปิดเผยพวกเราทุกคนแล้ว
อิมามเรียกผู้ต้องหาคนที่สอง อิมามพูดกับเขาว่า: “เพื่อนของท่านได้พูดสิ่งที่ควรต้องพูดไปแล้ว ขอให้ท่านพูดความจริง” อิมามไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใดแต่ใช้คำพูดที่สื่อความหมายสองด้าน ทำให้ใจของผู้ต้องหาคนที่สองว่างเปล่ามากขึ้น จนทำให้เขาสารภาพความจริง
ผู้ต้องหาคนที่สองกล่าวว่า โอ้ท่านอามีรุลมุมินีน! ฉันไม่ใช่ฆาตกรคนเดียว แต่อาชญากรรมนี้ก่อโดยพวกเราทุกคน! จากคำรับสารภาพของจำเลยที่สอง อิมามกล่าวตักบีร และผู้คนที่มัสญิดก็กล่าวตักบีรด้วย
อิมามพูดกับลูกชายของผู้ที่ถูกฆ่าว่า: เจ้าจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้?
ชายหนุ่มพูดว่า: โอ้ อาลี ฉันให้อภัยแก่พวกเขาด้วยเกียรติของท่าน อิมามจึงเรียกพวกเขาทีละคน ทั้งหมดสารภาพว่าฆ่าและยึดทรัพย์สินของพ่อชายหนุ่มคนนั้น




