- รากฐานอิสลาม (1)
- รากฐานอิสลาม (2)
- รากฐานอิสลาม (3)
- รากฐานอิสลาม (4)
- รากฐานอิสลาม (5)
ส่วนที่ 1
หลักการของทัศนะอิสลามในเรื่องสิ่งที่มีอยู่ มนุษย์ และการมีชีวิต
รากฐานที่ 1 : แนวทางการทำความรู้จัก (หรือรับรู้)
อิสลามช่วยให้ (มนุษย์ทุกคน) รู้จักสรรพสิ่งและเข้าถึงความจริงตามหลักศาสนาด้วยเครื่องมือ 3 ชนิด พร้อมกับถือว่า แต่ละชนิดนั้นมีขอบเขตแห่งการรับรู้เป็นการเฉพาะ, เครื่องมือเหล่านี้ก็คือ
1. การสัมผัส, ประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุด ก็คือ การฟังและการมองเห็น
2. การใช้ปัญญาไตร่ตรอง, สามารถใช้ค้นหาความจริงได้ในขอบเขตจำกัดและเฉพาะอย่าง โดยทั่วไปแล้วใช้ในเรื่องพื้นฐานเป็นการเฉพาะ
3. การดลวะห์ยู, เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์พิเศษระหว่างมนุษย์กับโลก อันพ้นญาณวิสัย (ฆ็อยบ์)
มนุษย์ทั่วไปสามารถใช้เครื่องมือที่หนึ่งและสองเพื่อการเรียนรู้ การทำความรู้จักทุกสรรพสิ่งที่อยู่รายล้อมตัวเขา และการทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ศาสนา ส่วนเครื่องมือที่สามนั้นจำกัดเฉพาะบางคนที่มีความอนุเคราะห์แห่ง พระเจ้ารวมอยู่ในตัวเขา, ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดของคนกลุ่มนี้ก็คือบรรดาศาสน-ทูตและบรรดาศาสดา (อะลัยฮิมุสซะลาม) ผู้ทรงเกียรติ
ขณะที่บริบทแห่งการได้รับการดลวะห์ยูนั้นมีขอบข่ายที่กว้างไกลกว่าและครอบคลุมมากกว่า ดังที่มันแทรกซึมในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบริบทเรื่องความเชื่อหรือในกรอบของบทบาทหน้าที่
อัลกุรอานได้กล่าวถึงเครื่องมือทั้งสามในโองการต่าง ๆ, เราขอนำเสนอสัก 2 ตัวอย่าง ดังนี้
وَاللَّـهُ أَخْرَجَكُم مِّن بُطُونِ أُمَّهَاتِكُمْ لَا تَعْلَمُونَ شَيْئًا وَجَعَلَ لَكُمُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَالْأَفْئِدَةَ لَعَلَّكُمْ تَشْكُرُونَ ﴿النحل : ٧٨﴾
อัลลอฮ์ทรงนำพวกเจ้าออกมาจากท้องมารดาของพวกเจ้าในสภาพที่พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย พระองค์ทรงบันดาลให้พวกเจ้ามีการได้ยิน การมองเห็น และการใช้ความคิด เผื่อว่าพวกเจ้าจะรู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ (อันนะฮ์ลุ / 78)
“อัลอัฟอิดะฮ์” -พหูพจน์ของ “ฟุอาด”- ในโองการนี้ประกอบกับบริบทของคำว่า “การได้ยิน” และ “การมองเห็น” จึงให้ความหมายว่า “การใช้ความคิดของมนุษย์” หรือ “การใช้ปัญญา”, ส่วนตอนท้ายของโองการมีประเด็นเรื่องคำสั่งให้สำแดงความขอบคุณเข้ามา จึงให้ความเข้าใจได้ว่า มนุษย์ต้องใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทั้งสาม เพราะการขอบคุณหรือการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณใช้กับทุกคุณูปการในเรื่องราวและกรณีที่เหมาะสมกับเรื่องนั้น
ส่วนในกรณีของการดลวะห์ยูนั้น, พระองค์ตรัสว่า
وَمَا أَرْسَلْنَا مِن قَبْلِكَ إِلَّا رِجَالًا نُّوحِي إِلَيْهِمْ فَاسْأَلُوا أَهْلَ الذِّكْرِ إِن كُنتُمْ لَا تَعْلَمُونَ ﴿ النحل : ٤٣﴾
เรามิได้ส่ง (ศาสนทูตคนใด) ก่อนหน้าเจ้า นอกจากเป็นมนุษย์ปุถุชนที่เราได้ดลวะห์ยูมายังพวกเขา ฉะนั้น พวกเจ้าจงสอบถามชนผู้รำลึก หากพวกเจ้าไม่รู้. (อันนะฮ์ลุ / 43)
มนุษย์ที่ยึดมั่นต่อศาสนาจะใช้ประโยชน์-ในการทำความรู้จักสรรพสิ่ง การมีชีวิต และความเชื่อ-จากประสาทสัมผัส, แต่ส่วนใหญ่แล้วประสาทสัมผัสเป็นพื้นฐานของกฎเกณฑ์ทางปัญญา กล่าวคือ เครื่องมือเหล่านั้นเป็นตัวสร้างสภาวะสำหรับการใช้ความคิดและการตัดสิน ดังที่การใช้ปัญญาและการใช้ความคิดถูกนำไปใช้ในเรื่องการทำความรู้จักอัลลอฮ์ คุณลักษณะและการกระทำแห่งพระองค์, ผลสรุปของทุกแนวทางและเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้เป็นที่ยอมรับ มีบทบาท และน่าเชื่อถือสำหรับการค้นหาความจริงและการทำความรู้จักสิ่งนั้น
รากฐานที่ 2 : การเชิญชวนของบรรดาศาสดาและศาสนทูต
อาจสรุปเรื่องการเชิญชวนของบรรดาศาสดาและศาสนทูตได้ภายในกรอบ 2 ประการนี้ คือ ความเชื่อและการปฏิบัติ,
การให้ความสำคัญของพวกเขาในบริบทของ “ความเชื่อ” สำแดงอยู่ในการเชิญชวนสู่การมีความเชื่อในอัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เรื่องคุณลักษณะอันงดงามและเลอเลิศของพระองค์ และการกระทำของพระองค์
จุดมุ่งหมายของ “การปฏิบัติ” ก็คือ ภาระหน้าที่ตามหลักการศาสนา (ตักลีฟ) และกฎเกณฑ์ซึ่งชีวิตทั้งปัจเจกและสังคมวางอยู่บนฐานรากของเรื่องนั้น
ประเด็นเรื่องบริบทในความเชื่อนั้น ก็คือ การมีความรู้และความเชื่อมั่น, ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ (หรืออีกนัยหนึ่งต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง) นอกจากต้องปฏิบัติตามเรื่องที่เป็นจุดมุ่งหมายนี้
ฉะนั้น มุสลิมทุกคนต้องทำให้ความเชื่อของเขาไปถึงระดับ “ความเชื่อมั่น” (ยะกีน) เขาต้องไม่หยุดแค่เพียงการปฏิบัติตาม (ตักลีด) และยึดมั่นโดยไม่ค้นหาความจริง
ส่วนประเด็นเรื่องหน้าที่และการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ทางศาสนา (อะมั้ล) นั้น สิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของเรื่องนี้ ก็คือ การทำให้ชีวิตสอดคล้องต้อง กันกับรากฐานของมัน การยึดถือเอามาตรฐานของมันในทุกบริบทไม่ว่าจะเป็นทางปัจเจก ทางสังคม ทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ
ในการไต่ระดับนี้-ประกอบความเชื่อมั่น-ต้องมีแนวทางอื่นซึ่งกฎเกณฑ์ศาสนาได้เน้นย้ำไว้ และกำหนดให้เป็นหลักยึดเพื่อไปให้ถึงยังหน้าที่ที่ต้องปฏิบัตินั้น, การย้อนกลับไปหา “นักปราชญ์ด้านศาสนบัญญัติที่มีคุณสมบัติเพียบ พร้อม” (อัลมุจญ์ตะฮิดุ้ล ญามิอุชชะรออิฏ) ก็เป็นหนึ่งในแนวทางซึ่งเจ้าของศาสนา (หมายถึง อัลลอฮ์และศาสนทูตมุฮัมมัด) ได้เน้นและยอมรับเรื่องนี้
รากฐานที่ 3 : หลักฐานการใช้ปัญญาและการดลวะห์ยู
เรายึดหลักว่า ในการทำความรู้จักกับแนวความเชื่ออิสลามและกฎเกณฑ์ทางศาสนานั้นต้องใช้หลักฐานอันเป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญสองประการ คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรองและการดลวะห์ยู.
ความแตกต่างระหว่างสองข้อพิสูจน์นี้ ก็คือ เราใช้ประโยชน์เรื่องการดลวะห์ยูนี้ในทุกบริบท แต่เราจะใช้ปัญญาไตร่ตรองนี้ในบริบทเฉพาะ
จุดมุ่งหมายของ “การดลวะห์ยู” ก็คือ คัมภีร์จากฟากฟ้าของเรา หมายถึงอัลกุรอานและอัลฮะดีษซึ่งสายสืบของมันสิ้นสุดที่ท่านเราะซูลุ้ลลอฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะอาลิฮีวะซั้ลลัม)
ส่วนฮะดีษของบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์นั้น ก็เนื่องจากว่า มันสิ้นสุดที่ท่านเราะซูลุ้ลลอฮ์และมีต้นกำเนิดมาจากนั้น, ทั้งหมดนั้นเราเรียกว่า “อัสซุน-นะฮ์” ถูกรับรองว่าเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์หนึ่งแห่งพระเจ้า
การใช้ปัญญาไตร่ตรองและการดลวะห์ยูนั้น ทั้งสองยืนยันเรื่องการเป็นหลักฐานซึ่งกันและกัน เมื่อเราพิสูจน์ถึงการเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์ของการดลวะห์ยูตามการใช้ปัญญาที่ชัดเจน และการดลวะห์ยูก็เน้นถึงการเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์ของการใช้ปัญญาไตร่ตรองในบริบทเฉพาะนั่นเอง
อัลกุรอานอันจำเริญได้นำเรา-ในหัวข้อต่าง ๆ อันมากมาย-สู่กฎเกณฑ์แห่งการใช้ปัญญาและการตัดสินของมัน และเชิญชวนมนุษย์สู่การใช้ความคิดและการพินิจพิจารณาในความพิศวงแห่งการสร้างสรรค์ และเช่นเดียวกัน อัลกุรอานก็ได้ให้ปัญญาช่วยพิสูจน์เนื้อหาของการเชิญชวนของมันด้วย ไม่มีคัมภีร์จากฟากฟ้าเล่มใดที่ให้เกียรติการทำความรู้จักทางปัญญาและกรณีอื่น ๆ ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์ เช่นอัลกุรอานอีกแล้ว
อัลกุรอานเต็มไปด้วยหลักฐานทางปัญญาในประเด็นเรื่องความเชื่อเกินกว่าที่จะจำกัดความ
บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อะลัยฮิมุสซะลาม) ได้เน้นย้ำเรื่องหลักฐานทางปัญญาและหลักเกณฑ์การใช้ปัญญาในบริบทต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินเป็นจริงขึ้นมาได้ก็เพราะปัญญา
ดังที่ท่านอิมามมูซา บินญะอ์ฟัร (อะลัยฮิสซะลาม) ได้นับเรื่องการใช้ปัญญาพิสูจน์นั้นเป็นหนึ่งในหลักฐานที่เป็นข้อพิสูจน์ ดังวจีธรรมที่ว่า
إِنَّ لِلّهِ عَلَى النَّاسِ حُجَّتَيْنِ : حُجَّةً ظَاهِرَةً وحُجَّةً بَاطِنَةً، فَإِمَّا الظَّاهِرَةُ فَالرُّسُلُ وَالأَنْبِيَاءُ وَالأَئِمَّةُ، وَأَمَّا الْبَاطِنَةُ فَالْعُقُوْلُ
“อัลลอฮ์ได้ทรงมอบหลักฐานอันเป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญสองประการคือ หลักฐานภายนอกและหลักฐานภายใน หลักฐานภายนอกก็คือบรรดาศาสนทูต ศาสดา และอิมาม ส่วนหลักฐานภายในก็คือการใช้ปัญญาไตร่ตรอง”
รากฐานที่ 4 : การใช้ปัญญาและการดลวะห์ยูย่อมไม่ขัดแย้งกัน
เมื่อการดลวะห์ยูเป็นหลักฐานอันชัดเจน, การใช้ปัญญาก็เป็นดวงประทีปอันเจิดจรัสที่อัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงดลบันดาลมันไว้ในแก่นของทุกคนที่เป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง ที่จะต้องไม่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างหลักฐานทั้งสองนี้
หากบังเอิญพบว่า มีความขัดแย้งกันระหว่างสองหลักฐานนั้น ก็จำเป็นต้องรู้ว่า มันอาจมีที่มาจากหนึ่งในสองเรื่องต่อไปนี้ คือ เราอาจอ้างอิงหลักฐานทางศาสนาไม่ถูกต้อง หรืออาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในบทเกริ่นของการแสดงเหตุผลทางปัญญานั้น เพราะอัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงปรีชาญาณ พระองค์จะ ต้องไม่ทรงเรียกร้องให้มนุษย์ใช้หลักการที่ขัดแย้งกันเองเป็นอันขาด
การที่ไม่อาจคาดเดาถึงความขัดแย้งอย่างแท้จริงระหว่างการใช้ปัญญาและการดลวะห์ยูนั้น ก็เหมือน กับการที่จะไม่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างความรู้และการดลวะห์ยูนั่นเอง, และเมื่อความขัดแย้งของทั้งสองในบางเรื่องถูกตรวจสอบ ก็จะพบว่า มีที่มาจากหนึ่งในสองเรื่องดังต่อไปนี้ กล่าวคือ เราอ้างอิงหลักฐานทางศาสนาในเรื่องนั้นผิดพลาด หรือไม่ก็ความรู้ในเรื่องนั้นยังไม่ตกผลึกถึงขั้นจริงแท้แน่นอน
ความขัดแย้งส่วนใหญ่เกิดมาจากส่วนที่สอง เมื่อสมมติฐานทางความรู้ถูกนำเสนอว่า เป็นความจริงแท้แน่นอน ขณะที่การคาดการณ์ก็เกิดขึ้นว่า มีความขัดแย้งกันระหว่างความรู้กับศาสนา
รากฐานที่ 5 : “ความเป็นจริง” ของโลก มิใช่เนื้อหาสาระที่ต้องยอมสยบต่อการใช้ความคิดของเรา
ในประเด็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ นั้นมี “ความเป็นจริง” ที่เป็นเอกเทศจากความคิดและจินตนาการ, “ความเป็นจริง” ของโลกเป็นเนื้อหาสาระที่มีลักษณะเป็นนิรันดร์และคงอยู่ตลอดมา, หมายความว่า หากมนุษย์เชื่อมต่อไปยังการรู้จักเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นข้อเท็จจริง เช่น ความจริงแท้หนึ่ง, สิ่งที่เขาค้นพบนั้นจะเป็นความจริงแท้ที่แน่นอน คงอยู่ต่อไปและตลอดกาล
แต่เมื่อเขาค้นพบเรื่องหนึ่งซึ่งบางส่วนของมันเป็นที่รับรู้กันและตรงกับความเป็นจริง แต่อีกส่วนหนึ่งผิด, ส่วนนั้นซึ่งมีองค์ประกอบแห่งความเป็นจริงระบุอยู่ ก็จะเป็น “ความเป็นจริง” ที่อยู่ตลอดไป, หมายความว่า มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและจะไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการผันแปรของกาลเทศะและการปรับเปลี่ยนอื่นใด
หรืออีกนัยหนึ่ง, ความสัมพันธ์ใน “ความเป็นจริง” หนึ่ง, ที่ให้ความหมายว่า เป็นการรู้จักในเวลาหนึ่งนั้นเป็น “ตัวความจริงแท้” และในเวลาอื่นมันเป็น “ตัวความเท็จ”, มันจะไม่ถูกจินตนาการในประเด็นเรื่องการทำความรู้จักซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีอยู่
หาก “สองคูณสองเท่ากับสี่” เป็น “เรื่องจริงแน่นอน” มันก็จะเป็นความแน่นอนตลอดไป แต่หากมันไม่ใช่ มันก็ต้องไม่ใช่ไปโดยตลอด
เป็นไปไม่ได้ที่การได้รู้จักสิ่งหนึ่งในระดับพิเศษที่เป็นตัวความจริงแท้ แต่ในระดับขั้นอื่นกลับเป็นเรื่องที่คลุมไปด้วยความผิด
ความสัมพันธ์ในเรื่องการรู้จักและการตระหนักรู้นั้น อันที่จริงมันถูกจินตนาการอยู่ในเรื่องราวซึ่งไม่มีความจริงอยู่นอกจากความคิดของมนุษย์และการยืนยันความคิดของเขา และเป็นเรื่องสมมติขึ้น, สังคมของตะวันตกมีความเสรีในการเลือกระบอบรัฐบาลของเขา เมื่อวันหนึ่งพวกเขาเห็นพ้องต้องกันที่จะระบุลักษณะการปกครองในรูปแบบหนึ่ง รูปแบบนั้นก็เป็นความเป็นจริงตราบเท่าที่พวกเขามีความเห็นพ้องต้องกันในรูปแบบนั้น, แต่เมื่อพวกเขาเห็นพ้องต้องกันในรูปแบบที่กลับกัน รูปแบบที่สองนี้ก็จะเป็นความจริงแท้, ในเวลาเดียวกันนี้เองที่การรู้จักทั้งสองในห้วงเวลาเฉพาะก็เป็นความจริงแท้ (ในห้วงเวลานั้น)
แต่ทว่าเรื่องราวซึ่งในตัวตนของมันนั้นเป็นเนื้อหาที่เจาะจงและมีขอบเขตอยู่นอกความคิด, เมื่อมันเป็น “ความเป็นจริง” ในขอบข่ายของการตระหนักรู้ด้วยรูปแบบที่ถูกต้องและแน่นอน มันก็จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องไปตลอดกาล, สิ่งที่ตรงข้ามกันนั้นก็ย่อมต้องเป็นโมฆะตลอดกาลด้วย
หรืออีกนัยหนึ่ง ทุกสิ่งมี “ความเป็นจริง” ที่เกิดอยู่ภายนอกความคิดของมนุษย์ การรู้จัก “ความเป็นจริง” ที่มันเกิดขึ้นนั้นมันจะวนเวียนอยู่กับความถูกต้องกับความผิดพลาด, ส่วนเรื่องราวที่เป็นไปตามสมมติฐานซึ่งความคิดสร้างมันขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายทางสังคมนั้น เช่น รูปแบบการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นระบอบประธานาธิบดีหรือแบบสมบูรณาญาสิทธิราช มันก็แสดงลักษณะเฉพาะด้วยการเปรียบเทียบและถูกระบุลักษณะ, มันเป็นความจริงแท้ในห้วงเวลาหนึ่งมิใช่ในห้วงเวลาอื่น
กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งมี “ความจริงแท้” ของตัวมันเองที่อาจอยู่เหนือความนึกคิดของมนุษย์ ฉะนั้น การเรียนรู้ความจริงดังกล่าวของมนุษย์นั้นอาจตกอยู่ในสภาวะระหว่างถูกกับผิดได้
